กลัวเจ้ากรรมนายเวร ความโง่ก็เลยเกิด

กลัวเจ้ากรรมนายเวร ความโง่ก็เลยเกิด

725
0
แบ่งปัน

****** กลัวเจ้ากรรมนายเวร ความโง่ก็เลยเกิด ****

ขอสาธุคุณ…

เราต้องกล่าวว่า เมื่อไหร่จึงจะสิ้นวิบากแห่งกรรมซะที อย่างนี้…น่าจะถูก

วิบาก…ไม่มีสิ้น แต่เราทำให้วิบากมันสิ้นไปจากใจเราได้ โดยการยอมรับมันว่า มันเป็นของมันเช่นนั้นเอง เพราะมีกรรมเป็นเหตุ

<<ลูกศิษย์: พระอาจารย์เจ้าค่ะ จิตติดกรรมกับจิตเป็นเจ้ากรรมนายเวร มีเหตุมีผลเป็นเช่นไรค่ะ กรุณาด้วยเจ้าค่ะ

>>ธรรมกะ: จิตติดกรรม นี่..หากเอาภาษามาอธิบาย มันคงแปลได้หลาย

จิตติดกรรมอีกมุมหนึ่ง ก็คือ จิตมีอาการไหลไปในกระแสแห่งการผัสสะ ไร้แรงต้านแห่งสติ ไร้เหตุไร้ผล กระทบอย่างไร…จมหายไปในกระแสนั้น

เรื่องกระแสแห่งธารที่มากระทบ แล้วจมหายไปกับกระแส

กระทบแล้วพยายามฝืนกระแส และจมลงไปอีก

กระทบแล้วฝืนกระแส และพยายามหาที่พึ่ง
ก่อนที่จะจมลงไปอีก และอะไรหลายๆอย่างจนกระทั่ง
การว่ายออกจากกระแส

และการเอาตัวรอดจากกระแสธารแห่งการกระทบ ท่านผู้เฒ่าได้เคยอธิบายไปแล้ว แต่อยู่ไหนก็ไม่รู้

ส่วนจิตที่เป็นเจ้ากรรมนายเวร เป็นวลีคำแห่งการพูด ไม่มีใครมาเป็นเจ้ากรรมนายเวรของจิต

ที่เป็นเจ้ากรรมนายเวร เกิดจากตนเองยอมรับไม่ได้
กับอาการแห่งจิตที่ตัวตนไปเป็นเจ้าของ

เวลาไม่ชอบใจก็จะบอกว่า เป็นเจ้ากรรมนายเวร

เวลาชอบใจก็จะชื่นชอบ ถูกใจไปซะหมด หาเจ้ากรรมนายเวรไม่เจอ

ที่ว่าเป็นเจ้ากรรมนายเวร มันเกิดจากวิบากผลแห่งกรรม ที่สังขารปรุงแต่งกระทำมา
และเพราะความไม่รู้เป็นเหตุ จึงตกในกระแส

จิตดวงนี้จึงเต็มไปด้วย อวิชา ที่เกิดมาจากอุปาทานของ
ตัณหาแห่งการผัสสะที่มาจาก…เวทนา

การวางเฉยต่อกระแสกรรม เป็นตัวตนแห่งจิต
จึงไม่เรียกว่า เป็นการวางเฉย…อาจารย์นุช

การวางเฉยที่เป็น อุเบกขา คือ ปัญญาแห่งความเข้าใจ
รู้แจ้งว่า มันเป็นของมันเช่นนั้นเอง อย่างนี้นี่เอง

มันจึงวางของมันเอง จะมีตัวตนเข้าไปวาง หรือไม่มี
ตัวตนเข้าไปวาง มันก็วางของมันเอง

กระแสแห่งความเข้าใจ และรู้เห็นตรง จะทำให้มันวาง
ตัวลงเรียกว่า การคลายอุปาทาน

อวิชาดับ เกิดวิชชาขึ้นมาแทน อาศัยอำนาจแห่ง
เจโตวิมุตติ และปัญญาวิมุตติทำให้เกิดการวาง

นี่…เพราะรู้แจ้ง

เมื่อรู้แจ้งตรงตามความเป็นจริง การยึดด้วยอาการแห่ง
ความหลงก็หลุดลอย

มันเกิดปัญญาและเจโต ตั้งแต่เรื่องเล็กๆน้อยๆที่เรายึด
สมมุติจนรู้แจ้ง เป็นวิมุติ คือ เข้าใจว่าสรรพสิ่งล้วน
สมมุติ การยึดมั่นทั้งหลายก็พังทลาย

เหมือนเรารักและหลงใหลกับใครซักคน เพราะความรัก
และหลงใหลนั้น ทำให้เรา ทำทุกอย่างเพื่อเขา

ทุ่มเทเพื่อเขา ยอมลำบากตรากตรำเพื่อเขา และถึงขนาด เรายอมตายแทนเขาได้
นี่..เกิดจากความหลง คือ ความไม่รู้ที่ยึดเป็นเหตุ

วันหนึ่งเกิดเรามารู้แจ้งแทงใจจนประจักษ์จิต และรู้เห็น
กับตาตนเองว่า แท้จริงเขาหลอกลวงเรา เขาคิดทำลายเรา

เขาผลาญทุกอย่างในความไว้วางใจของเรา และเขาทำดีกับเรา
เพื่อเอาทุกสิ่งที่เป็นของเราที่ทุ่มเทให้เขา และเขาก็คิดจะกำจัดเรา เมื่อเราหมดความหมาย

เมื่อใจที่รู้แจ้งเช่นนี้ ปรากฏ ประจักษ์ใจเรา อาจารย์นุชคิดว่า เรายังยึดที่จะยังทุ่มเทให้เขา ยอมตายแทนเขา ทำดีเพื่อความสุขของเขา และเรา..ยังจะไว้ใจในตัวเขาอย่างที่เราเคยยึดมั่นอยู่อีกหรือ

นี่…มันจะวางจากอาการแห่งความยึดมั่นทันที

มันจะไม่หลงยึดอีกต่อไป เหตุ…เพราะมันรู้แจ้งเห็นจริง โดยไม่ต้องเชื่อใคร เพราะมันประจกษ์แก่ใจของตนเอง

เช่นเดียวกัน ที่เราไม่ยอมวาง หรือวางไม่ลง เพราะมันยึดหลง และอยู่ในกระแสธารแห่งตัณหา

เป็นตัณหาที่ผุดขึ้นมาจากใจดวงนี้โดยไม่รู้จบ และใจดวงนี้ก็หลงยึดและไหลไปตามกระแสแห่งธารนั้น จมลงไปในกระแสนั้น

นี่…เป็นสมุทัย ผลก็คือ…ทุกข์ทนอยู่ในกระแส

หากเรารู้จัก ยับยั้งชั่งใจ หัดพิจารณาใคร่ครวญดูซะบ้าง กระแสใดๆที่เราโดนกระทบ มันก็จะเกิดความยับยั้งขึ้นมาบ้าง

มันก็จะเกิดการลด ละ เลิก ตามปัญญาเท่าที่มี ไม่ไหลไปตามกระแสธารแห่งตัณหาที่ฝุดขึ้นมาจากใจ ไม่รู้จบนั้นบ้าง

นี่…เป็นทางเดินแห่งมรรค ผลก็คือ การดับ เรียกว่า นิโรธะ

นี่..เป็นหลักอริยสัจ เรียกว่า เป็นจิตที่มีสัมมาทิฏฐิ

สัมมามันอยู่ตรงนี้ ไม่ได้อยู่ตรงไหน สัมมาอยู่ที่ใจ มีสติใคร่ครวญ พิจารณา รู้เห็นตรงตามความเป็นจริงเท่าที่ปัญญาจะมี

ผลมันก็บังเกิดขึ้นไปตามกำลังแห่งปัญญา อุปาทานก็จางคลายถดถอยไป จนเข้าถึง…วิมุตติ

หากเราเป็นไปตามลำดับเช่นนี้ การวางแห่งจิตที่เคยยึดมั่นถือมั่น

มันจะรู้ได้โดยตัวเองว่า จะมีตัวตนวาง หรือไม่วาง มันก็วางและไม่เอาด้วยโปรแกรมจิตของมันเอง

จึงขอบอกว่า เจ้ากรรมนายเวรแห่งจิต มันไม่มี
ที่คิดว่ามี เป็นความหลง คือ อวิชาเป็นเหตุ
เหตุเกิดจากใจไม่ย้อนสาวผลไปหาเหตุ

เมื่อไม่รู้เหตุ ใจก็ยึดผลที่ปรากฏนั้น..เป็นเจ้ากรรมนายเวร

เช้านี้..ขอสาธุคุณยามเช้าอันหนาวเย็นกลางป่าและแผ่นน้ำแค่นี้ สวัสดี..!!

วันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2557